วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

R.I.P. Michael Jacson!!

Michael Joseph Jackson (August 29, 1958 – June 25, 2009) was an American recording artist, entertainer and businessman. The seventh child of the Jackson family, he made his debut onto the professional music scene at the age of 11 as a member of The Jackson 5 in 1969, and later began a solo career in 1971 while still a member of the group. Referred to as the "King of Pop"[2] in subsequent years, his 1982 album Thriller remains the world's best-selling record of all time[3] and four of his other solo studio albums are among the world's best-selling records: Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) and HIStory (1995).
In the early 1980s, he became a dominant figure in popular music and the first African American entertainer to amass a strong crossover following on MTV. The popularity of his music videos airing on MTV, such as "Beat It", "Billie Jean" and "Thriller"—widely credited with transforming the music video from a promotional tool into an art form—helped bring the relatively new channel to fame. Videos such as "Black or White" and "Scream" made Jackson an enduring staple on MTV in the 1990s. With stage performances and music videos, Jackson popularized a number of physically complicated dance techniques, such as the robot and the moonwalk. His distinctive musical sound and vocal style influenced many hip hop, pop and contemporary R&B artists.
Jackson donated and raised millions of dollars for beneficial causes through his foundations, charity singles, and support of 39 charities. Other aspects of his personal life, including his often changing appearances and eccentric behavior, generated significant controversy which damaged his public image. Though he was accused of child sexual abuse in 1993, the criminal investigation was closed due to lack of evidence and Jackson was not charged. The singer had experienced health concerns since the early 1990s and conflicting reports regarding the state of his finances since the late 1990s. Jackson married twice and fathered three children, all of which caused further controversy. In 2005, Jackson was tried and acquitted of further sexual abuse allegations and several other charges.
One of the few artists to have been inducted into the Rock and Roll Hall of Fame twice, his other achievements include multiple Guinness World Records—including one for "Most Successful Entertainer of All Time"—13 Grammy Awards, 13 number one singles in his solo career, and the sale of 750 million records worldwide.[4] Jackson's highly publicized personal life, coupled with his successful career, made him a part of popular culture for almost four decades. Michael Jackson died on June 25, 2009, aged 50.[5] The specific cause of death has yet to be determined. Before his death, Jackson had announced a 50-date sell-out This Is It comeback tour, in London, England.

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อาการคัน

อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง

อาการคันเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เมื่อคันแล้วก็ต้องเกา ๆๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่า อาการคันนั้นเกิดจากสาเหตุใดบ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า อาการคันเป็นความรู้สึกที่ผิวหนัง ยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ บางครั้งคล้ายแมลงไต่ ทำให้รำคาญ หงุดหงิด อาการคันเกิดที่ผิวหนังทั่วร่างกาย และเยื่อบุตา อาการคันจะมากหรือน้อยจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันอาการคันจึงแตกต่างกัน แต่ละส่วนของร่างกายก็ไวต่ออาการคันต่างกัน ที่รุนแรงพบบริเวณรอบทวารหนัก รอบอวัยวะเพศ ช่องหู เปลือกตาและช่องจมูก ในแต่ละส่วนของร่างกายมีความไวต่ออาการคันต่างกัน ดังนั้นโรคเดียวกันผื่นอยู่คนละแห่งก็จะคันต่างกัน ความรุน แรงของอาการคันในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันขึ้นกับหลาย ปัจจัย เช่น สภาพจิต บุคคลซึ่งเคร่งเครียด วิตกกังวล อารมณ์อ่อนไหว ขี้กลัว โกรธง่าย จะมีอาการคันมากกว่าบุคคลซึ่งมีสภาพจิตปกติ เวลาและอุณหภูมิ ก็มีส่วน โดย กลางคืนจะคันมากกว่าเวลากลางวัน เพราะการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติในเวลากลางคืนเพิ่มขึ้น เป็นผลให้หลอดเลือดขยายตัวเป็นปัจจัยตัวกระตุ้นให้คัน และความอบอุ่นในเวลากลางคืน ยังทำให้สมองส่วนกลางซึ่งควบคุมความรู้สึกคันไวต่ออุณหภูมิที่ร้อนเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยซึ่งมีอาการคันในเวลากลางคืนมักเป็นโรคไม่ใช่สาเหตุจากด้านจิตใจ และโรคผิวหนังบางโรคผู้ป่วยจะเกาประมาณร้อยละ 10 ของเวลาหลับ สาเหตุการเกิดอาการคัน มีดังนี้ 1.การเปลี่ยนแปลงชั้นผิวหนัง คันจากการสัมผัส สารระคาย หรือสารภูมิแพ้ สารใยแก้ว หนามและขนของแมลง พืชบางชนิดก็ทำให้คันได้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อากาศร้อน ลมแรง อากาศหนาว อากาศแห้งก็เป็นปัจจัยทำให้ผิวหนังแห้ง และเกิดอาการคันตามมา 2.คันจากโรคผิวหนัง โรคผิวหนังส่วนใหญ่จะมีอาการคันร่วมด้วย แต่ความรุนแรงจะขึ้นกับสภาพจิตและความไวของแต่ละบุคคล ผื่นคันเฉพาะที่พบบ่อย คือ ผื่นแพ้สัมผัส ผื่นแพ้ผิวหนัง กลาก ผื่นคันทั่วตัว เช่น ลมพิษ โรคหิด และ ผื่นคันไม่ทราบสาเหตุเฉพาะที่ เช่น ผื่นบริเวณอวัยวะเพศ และรอบทวารหนัก 3.โรคแฝงในอวัยวะอื่นอาจพบรอยผื่นเกาทั่วตัวไม่พบลักษณะจำเพาะเจาะจงของโรคผิวหนัง อาการคันเป็นอาการที่นำมาพบแพทย์ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ โรคไต โรคโลหิตและมะเร็งต่าง ๆ ภาวะหมดประจำเดือน และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง 4.คันจากความผิดปกติของระบบปลายประสาท เช่น ปลายประสาทอักเสบจากโรคงูสวัด และเริมใน 5.สาเหตุอื่น ๆ อาการคันอาจเกิดจากสารสื่อในสมองปรวนแปร และอาจเกิดจากปัญหาทางจิตใจ การรักษาผื่นคันในระยะเฉียบพลันอาจทุเลาด้วยความเย็น เช่น การอาบน้ำเย็น ประคบด้วยน้ำเย็น ยาทาคาลาไมด์ ควรทำด้วยความนุ่มนวล เพราะการขัดถูแรง ๆ ทำให้ผื่นเห่อได้ ในผู้ป่วยลมพิษถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวกควรพบแพทย์ ส่วนผื่นคันเรื้อรังต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยโรค เช่น ผื่นคันทั่วตัวเรื้อรังชนิดคันมากที่สุด คือ โรคหิด มีลักษณะผื่นเฉพาะ เป็นตุ่มและรอยเกา ในบริเวณซอกนิ้ว รักแร้ หน้าผาก หน้าขา อัณฑะ และองคชาต คันมากในเวลากลางคืน และเป็นโรคติดต่อในผู้ใกล้ชิด ส่วนโรคผิวหนังอื่นที่มีผื่นทั่วตัวต้องวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การรักษาต่อไป ในรายมีโรคภายในแฝง การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการก็จะวินิจฉัยโรคได้ และเมื่อรักษาโรคแฝงอาการคันจะทุเลาได้ เมื่อเกิดผื่นคันอย่าตื่นตกใจ ผื่นผิวหนังร้อยละ 80 จะหายได้เอง ควรตั้งสติพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด และเมื่อหลีกเลี่ยงก็ยังไม่ทุเลาควรพบแพทย์ ส่วนการรักษาในเบื้องต้นเพื่อระงับอาการ คือ ประคบด้วยความเย็น รับประทานยาแก้แพ้คลอเฟนิรามีน ควรงดการใช้สบู่บริเวณคันเพราะระคายและทำให้ผิวแห้ง หลายท่านชอบใช้ยาหม่อง เมนโทลาทัม อาการคันลดลงได้แต่อาจเกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา ส่วนการใช้ยาผงโรยอาจรู้สึกหาย คันเพราะแป้งทำให้เย็น แต่ด้วยยาฆ่าเชื้อในผงอาจทำให้แพ้ตามมาจึงไม่ควรใช้ ถ้าคันแล้วยังไม่มีเวลาไปพบแพทย์จะทำอย่างไร ? หลายท่านอาจแนะนำว่าอย่าเกาซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะคันก็ต้องเกาจึงจะหายคัน แต่ควรเกาแบบมีสติ คือ เกาเบา ๆ ไม่ใช่เกาแบบรุนแรง ก็จะช่วยทุเลาอาการได้. นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

นี่คือเหตุการณ์ประหลาดเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นจริงๆ บนพิภพของเรานี้ ณ บริเวณที่เรียกกันว่า "สามเหลี่ยมปิศาจ เบอร์มิวด้า" (Bermuda Triangle)... ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เพราะมันเป็นบริเวณดินแดนอาถรรพณ์ อันเป็นที่ล่ำลือกันว่าเต็มไปด้วยความลี้ลับ มันเป็นดินแดนที่กลืนกินชีวิตมนุษย์ และเรือเดินทะเลที่กลืนกินชีวิตมนุษย์และเรือเดินทะเล เครื่องบินที่โชคร้ายบังเอิญผ่านเข้าไป... ก็อาจหายสาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยให้เห็นอีกเลย ดินแดนอาถรรพณ์ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยแท้จริงแล้ว เป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากเป็นส่วนมาก เป็นส่วนหนึ่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติกภาคตะวันตก พื้นที่ทั้งหมด ปกคลุมพื้นทะเลตั้งแต่ตอนเหนือของหมู่เกาะเบอร์มิวด้า ไปยังทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาตีวงออกไปในทะเลทางตะวันออก ไปจนภึงหมู่เกาะบาฮามัส เลยไปอีกจนถึงอ่าวเม็กซิกโน้น .. ทั้งหมดถ้าดูตามแผนที่จะครอบคลุ่มพื้นที่ประมาณ 380,000 ตารางไมล์ทะเล ซึ่งถ้าดูกันจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่พื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนกับชื่อของมันเลย ไม่ทราบว่าชื่อ "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" นี้ได้มาอย่างไร ....มีผู้พยายามตั้งชื่อเสียใหม่ว่า "บริเวณดินแดนปิศาจ" บ้างก็เรียกว่า "สามเหลี่ยมปีศาจ" (Devil's Trian gle)
...อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของมันได้ถูกขนานนามขึ้นมาในราวๆ ปี ค.ศ.1960 โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดชื่อเหล่านี้ขึ้นมา แต่ด้วยเหตุที่ว่า ในบริเวณทะเลดังกล่าวนั้นมักจะปรากฏแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสมอๆ บ่อยๆ ครั้ง และเป็นประจำจนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วถึงอันตราย ของการหายสาบสูญอย่างไม่มีวันได้กลับคืนมา... จากบันทึกของกองเรือยามฝังสหรัฐฯ และบริษัทประกันภัยทางทะเล บริษัทประกันภัยเรือเดินสมุทรและเครื่องบิน มีสถิติความสูญหาย อย่างผิดปกติในอาณาบริเวณนี้ เป็นบริเวณต้องห้ามและเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ มันอาถรรพณ์อย่างไร? สิ่งที่ทำให้ย่านทะเลแห่งนี้กลายเป็นดินแดนมรณะ ซึ่งทำให้นักบินหรือนักเดินเรือต่างพยายามหลีกเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ยอมผ่านเข้าไปในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด อาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องอันพิลึกกึกกือที่เป็นข่าวระบือลือลั่น กันไม่รุ้จบระหว่างคนในระแวกนั้น
เหตุการณ์ประหลาดๆ อย่างที่ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าจะเป็นไปได้ มักจะเกิดขึ้นกับเรือ หรือเครื่องบินที่ผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น นับตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน จากสถิติของบริษัท Lioyd's ov London ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันภัยเรือเดินสมุทร พบว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 ถึง 1973 มีเรือในประกันของบริษัทจำนวน 60 ลำ รวมผู้โดยสาร 900 คน ได้หายสาบสูญไปในบริเวณน่านน้ำเบอร์มิวด้า โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1967 มีเรือทะเล เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับ เป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำไม่มีการส่งสัญญาณ "SOS" หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น ... สิ่งที่แปลกน่าฉงน และน่ากลัวที่สุดก็คือ เรือทั้ง 15 ลำนั้นเป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่นวิทยุสื่อสาร เรดาร์นำร่องโซน่าร์นำร่อง การค้นหาได้กระทำกันเป็นเดือนๆ แต่ก็ประสบผลล้มเหลวโดยสิ้นเชิงไม่พบแม้แต่เงา... นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่ได้มาจากบริษัทประภัยของเอกชนที่ต้องจ่ายประกันไป จนบริษัทแทบล้มละลาย นำมาซึ่งความงุนงง ให้แก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังอย่างสิ้นหวัง...
อะไรเกิดขึ้นกับเรือเหล่านั้น ลูกนาวี 900 คนหายไปไหนใครบ้างจะมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ ตัวอย่างอีกรายหนึ่งที่จะขอยกมาให้พิจารณาว่ามันเป็นอาถรรพณ์ ของดินแดนมรณะแห่งนี้ หรือเป็นเพียงอุบัติเหตุ ได้แก่ การหายสาบสูญของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดนาวีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ TBM ของนาวีสหรัฐฯ 1 ฝูงบิน (5 เครื่อง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง ทั้งหมด 14 นายไดออกทำการบินฝึกทิ้งระเบิดเหนือดินแดนเบอร์มิวด้า ห่างจากฐานทัพฟอร์ทล๊อคเดอร์เดลประมาณ 225 ไมล์... และแล้ว ฝูงบินทั้ง 5 ลำก็หายสาบสูญ ไม่เหลือแม้แต่เงา .. นาวีสหรัฐฯ ส่งเครื่องบินผู้ประสบภัยมาร์ติน มารีนเนอร์ แบบ PBM (เป็นเครื่องบินน้ำ 2 เครื่องยนต์) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำเครื่อง 13 นาย ออกตามหา ...20 นาทีต่อมา .... PBM ก็หายสาบสูญ โดยขาดการติดต่อ กับหอบังคับการ และหายไปอย่างลึกลับเช่นกันไม่มีเหลือแม้แต่เงา มันจะเป็นเหตุบังเอิญ อุบัติเหตุ หรือเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริง แนวโน้มจากสถิติการสูญหายอาจบอกเราได้ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปี ค.ศ.1976 มีเรือและเครื่องบินหายสาบสูญไปในบริเวณ เบอร์มิวด้าแล้วเป็นจำนวน 143 ราย รวมชีวิตมนุษย์เท่าที่ทราบแน่นอน เป็นจำนวน 2,101 คน ที่ต้องสังเวยไปในดินแดนอาถรรพณ์แห่งนี้
.. สถิติการสูญหายมีมากที่สุดในปี ค.ศ. 1975 คิดมีการสูญสาย 11 ราย เฉลี่ยเดือนละราย... เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายในบริเวณนี้ กับบริเวณเส้นทางเดินเรืออื่นๆ แล้ว พบว่า...แถบเบอร์มิวด้า ต้องเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ ...เพราะในน่านน้ำที่อื่นๆ ไม่มีสถิติการสูญหายมากเท่านี้เลย ดินแดนอาถรรพณ์มีอยู่แห่งเดียวรึ? เปล่าเลยครับ...เบอร์มิวด้าไม่ใช่ดินแดนอาถรรพณ์เพียงแห่งเดียวบนโลกนี้เท่านั้น ยังมีอีกแห่งหนึ่งเป็นอาณาบริเวณบนท้องทะเลเล็กๆ อยู่ทางตอนทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศญี่ปุ่น บริเวณนี้เคยเป็นดินแดนอาถรรพณ์เช่นกัน แต่ปัจจุบันความอาถรรพณ์ของบริเวณนี้ เบาบางลง จนดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว เมื่อสมัยปี ค.ศ. 1950 บริเวณนี้ได้ถูกขนานนามว่า "ทะเลปิศาจ" (Devil's Sea) มันเคยกลืนกินเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ไปกล่า 50 ลำ...ในปี ค.ศ. 1955 รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับลงทุนจ้างคณะนักสำรวจสมุทรศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจ ทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยที่สุดเท่าที่จะหาได้ในสมัยนั้น ลงเรือสำรวจสมุทรศาสตร์ขนาดยักษ์ เดินทางไปยังทะเลปิศาจ เพื่อค้นหาคำตอบของความอาถรรพณ์ลี้ลับ ณ บริเวณนั้น ... สองสามวันต่อมาเมื่อเรือไปถึงบริเวณทะเลปิศาจ...รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ต้องพบกับความอาถรรพณ์ ความงุนงงและความตกตะลึง ก็จะอะไรเสียอีกละครับ...เรือของคณะนักสำรวจลำนั้น ได้หายสาบสูญไป ไม่เหลือแม้แต่เงา ไม่มีสัญญาณวิทยุ ไม่มีสัญญาณขอความช่วยเหลือ ไม่มีอะไรทั้งนั้น.. หน่วยค้นหาถูกส่งตามออกไปค้นหากันแทบพลิกท้องทะเล...แต่ไม่พบแม้แต่เงา มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์ เราพอจะหาคำตอบอะไรได้บ้างไหมเกี่ยวกับการหายสาบสูญอย่างไร้เงา ของบรรดาผู้เคราะห์ร้ายที่หลุดเข้าไปในดินแดนมรณะเหล่านั้น... พวกที่หายสาบสูญไปแล้วย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมา บอกเล่าให้คนข้างหลังได้ทราบได้ว่าเขาได้ไปเผชิญกับอะไรมา แต่..เราก็ยังคงพอจะมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่สามาถนำประติดประต่อกัน พอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดกันพอจะให้ดูออกเป็นรูปร่างได้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้มาจากบรรดาผู้ที่บังเอิญรอดตายหรือหลบหลีกกันได้ จากบันทึกการติดต่อครั้งสุดท้ายโดยวิทยุกับพวกที่หายสาบสูญไป... มีรายงานที่น่าสนใจหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่ได้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น คล้ายปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ที่ยังไม่มีมนุษย์หน้าไหนเคยรู้จักกันมาก่อน ....อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเอาข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ มาปะติดปะต่อกันดูแล้วก็จะพบกับปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ อันนำไปสู่ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด มันไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาคลี่คลายออกไปได้เลย แต่กลับเพิ่มความงุนงง สนเท่ห์ใจให้มากยิ่งขึ้นเพราะมันยังคงเต็มไปด้วยอาถรรพณ์ลี้ลับจริงๆ เราอาจจะสรุปคำตอบได้เป็นข้อตามความเป็นไปได้ ทั้งโดยทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ และโดยสามัญสำนึก ซึ่งจะช่วยให้เราแจกแจงได้ว่าคำตอบใดจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับปัญหาสามเหลี่ยมมรณะแต่ในลำดับแรก เราจะเริ่มด้วยการประมวลเหตุการณ์ว่า "มีอะไรเกิดขึ้นที่แดนอาถรรพณ์" เสียก่อน เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมีธรรมชาติ พฤติการณ์คุณลักษณะเป็นอย่างไรกันแน่.... 1)รายงานที่พบเป็นประจำ เริ่มแรกผู้ประสบเหตุจะรายงานว่า มีการขัดข้องเกิดขึ้นกับเครื่องมือนำล่อง ตัวอย่างรายงานทำนองนี้ ได้แก่รายงานทางวิทยุครั้งสุดท้ายก่อนการหายสาบสูญไป ของนักบิน นาวีร้อยเอกเทเลอร์ (Charles Taylor) ได้ส่งวิทยุติดต่อแจ้งเข้ามา ยังหอบังคับการบินที่ Fort Lauderdale Naval Air Station ในขณะที่ กำลังบินกลับจากการฝึกบินตามปกติ เขาแจ้งเข้ามาด้วยวิทยุความถี่ฉุกเฉินว่า... "เข็มทิศหมุนอย่างบ้าคลั่ง ผมจับทิศไม่ถูกแล้วผมไม่ทราบตำแหน่งว่าผมอยู่ที่ไหน..." ...จากนั้นเสียงก็ขาดหายไป และแล้วร้อยเอกเทเลอร์กับเครื่องบินของเขา ก็ไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย เขาหายสาบสูญไปชั่วนิรันดร อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นรายงานที่ได้มาจาก ร้อยเอกเดนตาย อูลเมอร์ (Robert Ulmer) นักบินมือสองและด๊อกเตอร์ดิ๊กบาย (Dr. Robert Digby) ผู้โดยสารเดนตายคนเดียวที่รอดมาได้ จากเที่ยวบินพิเศษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ บี-24 .."ขณะบินอยู่ในระดับสูง 9,000 ฟุต ทางเหนือของเบอร์มิวด้าอากาศแจ่มใส่มาก ...จู่ๆ เครื่องบินก็สั่นยังกับจ้าวเข้าทรง เครื่องวัดต่างๆ หมุนไปมาอย่างไม่มีจุดหมาย และแล้วเครื่องบินก็เริ่มปักหัวลงทะเล กัปตันพยายามดึงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ... เราต่อสู้กับอำนาจลึกลับที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลงทะเลตลอดเวลา เราดึงเครื่องขึ้น เครื่องบินเอียง เซไปมา และจะดำดิ่งลงท่าเดียว เราก็ดึงมันขึ้นอีก ต่อสู้กันจนเราแทบหมดแรง...ผมไม่รู้จริงๆ ว่าผีบ้าซาตานอะไรมาเข้าสิงเครื่องบิน บินแบบถูลู่ถูกัง มาจนถึงฝั่งเม็กซิโก และตกบนภูเขาเหนืออ่างเปอร์โตริโก เป็นระยะทาง 1,500 ไมล์ที่ขับเขี้ยวมากับอำนาจเร้นลับ ที่พยายามดึงเครื่องบินให้ปักหัวลง ...ดร.ดิ๊กบายเล่าว่า.. "ผมเป็นผู้โดยสารคนเดียวที่รอดมาได้ ในสมัยนั้นเราไม่รู้ว่า มีบริเวณที่เรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า...แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็เจอมาแล้วกับตัวเอง มันมีอำนาจอะไรบางอย่าง ที่ดึงดูดเครื่องบินของเราลงไป ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไร แต่อำนาจลี้ลับนั้นมีอยู่แน่ๆ ที่บริเวณสามเหลี่ยมมรณะนั้น"... สรุปแล้ว ข้อมูลประการที่หนึ่งที่เราพบก็คือ มีพลังบางอย่าง ที่มีผลกระทบกับเครื่องมือนำทาง เช่นเข็มทิศ เครื่องวัดความสูง เครื่องวัดความเร็ว และเครื่องมือสื่อสาร นั่นคืออำนาจลึกลับนี้มีผลกระทบกับ อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมด โดยเฉพาะเข็มทิศแม่เหล็ก 2)เกิดความสับสนขึ้นกับประสาทความรู้สึกในการรับรู้ทั้ง 5 ของผู้ที่หลุดเข้าไปในดินแดนอาถรรพณ์ ทำให้ผู้นั้นงุนงง สับสนต่อเหตุการณ์ และที่สุดคือสูญเสียความรู้สึกในเรื่องเวลา และการทรงตัว ดังตัวอย่างรายงานอดีตผู้บังคับการฝูงบินทิ้งระเบิด บิลล์สัน (Commander Marcus Billson) เมื่อวันที่ 25 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 ขณะทำการบินด้วยเครื่องบิน PBM (เครื่องบินน้ำ แบบสองเครื่องยนต์) และรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเล่าว่า... "ผมกำลังบินในตอนกลางคืน อยู่ระหว่างครึ่งทาง จากฟลอริด้า ไปเกาะบาฮาม่า...ในขณะนั้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เจ้าวิทยุเข็มทิศ (radio compass) ก็เริ่มหมุนติ้วยังกับกังหันต้องลม และเข็มทิศแม่เหล้กก็เอากับเขาด้วยวิทยุติดต่อก็เกิดเสียงรบกวนซู่ซ่า จนใช้การอะไรไม่ได้เลย ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่ามันเกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา แล้วต่อมาไฟฟ้าในห้องนักบินก็ดับพรึ่บลง ทีนี้มันก็มืดสนิท มองไม่เห็นอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่มีท้องฟ้า ไม่มีแสงดาว ไม่มีอะไรเลย นอกจากความมืดสนิท... ผมไม่เข้าใจว่าแสงดาวบนท้องฟ้ามันดับหายไปไหนหมด แสงระยิบระยับบนท้องทะเลก็ควรจะมองเห็นได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่นี่มันมืดมิดจริงๆ ...ผมนึกว่าผมคงตาบอดแน่ๆ ...ผมไม่รู้ว่า เราบินไปทางไหนเอาหัวขึ้น หรือเอาหัวลงก็บอกไม่ได้ ผมมีประสบการณ์การบินมามากกว่า 5,000 ชั่วโมง หลับตาบินผมก็รู้ว่าผมบินได้... แต่นี่มันต่างกัน ผมสูญเสียความรู้สึกไปหมดผมเหมือนคนตาบอดสนิท.. ผมถือคันบังคับเครื่องบินแน่น พยายามเลี้ยง ประคองเอาไว้ให้ตรงที่สุด เท่าที่ความรู้สึกนึกคิดของผมจะมีอยู่ในเวลานั้น .. ต่อมาทุกอย่างก็กลับสู่สภาพปกติ ไฟฟ้าสว่างขึ้นเอง เข็มวัดทุกอย่างทำงานเหมือนเดิม เหมือน/ไม่มีอะไรเกิดขึ้น... และผมก็งงไปหมด เครื่องได้มาบินอยู่เหนือสนามบินบาฮาม่าแล้ว... ผมงงจริงๆงงจนไม่รู้ว่าจะพูดหรืออธิบายว่าอย่างไรถูก.. เหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วคุณจัให้ผมอธิบายว่าอย่างไร ผมก็จนปัญญา"... 3)มีการรบกวนทางระบบไฟฟ้า และการติดต่อสื่อสารทางวิทยุ จะถูกตัดขาดนี่คือข้อมูลอีกข้อหนึ่งที่เราจะพบเสมอจากรายงานครั้งสุดท้าย ของผู้ที่หายสาบสูญไปในดินแดนอาถรรพณ์ ดังตัวอย่างการหายสาบสูญ ของฝูงบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่ 19 ของนาวีสหรัฐอเมริกา ... หายทั้งฝูงเลยนะครับ..ไม่ใช้ลำเดียว..ฝูงบินที่ 19 มีเครื่องบินแบบ TBM อเว็งเจอร์ จำนวน 5 ลำ ได้ออกบินฝึกตามภารกิจปกติ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 และได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับ ถึงแม้จะมีการระดมหน่วยค้นหาตามล่ากันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ครอบคลุมพื้นที่ทุกๆ ตารางฟุต กว้างถึง 380,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา... รายงานสุดท้ายที่จ่าฝูง.ร้อยเอก โรเบิร์ต คอส รายงานมา รับฟังได้จากวิทยุ ณ ฐานทัพภาคพื้นดิน ตอนหนึ่ง กล่าวด้วย น้ำเสียงของคนตกใจสุดขีดว่า.. "อย่าตามผมมา.. แยกกันออกไป แยกกันออกไป.." แล้วเสียงวิทยุก็ถูกตัดขาดทันที เหมือนกับว่ามีใครไปปิดเครื่องส่งของเขาฉะนั้น ... ร้อยเอกโรเบิร์ต คอส บินเข้าไปพบอะไร ไม่มีใครทราบ แต่สิ่งที่เขาพบต้องเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้เขาสั่งลูกฝูงไม่ให้บินตามเข้าไป... แต่ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิทยุโต้ตอบกันระหว่างจ่าฝูงกับลูกฝูงของเขา ซึ่งรับฟังได้ยินไม่ชัดเจน เป็นเสียงขาดๆ จางๆ และมีคลื่นแทรกรบกวนมาก พอจะจับความได้บ้างบางตอนว่า ฝูงบินที่ 19 กำลังหลงเข้าไป ในสภาพบรรยากาศอันผิดปรกติ แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ปรากฏการณ์ "หมอกเรืองแสงสีขาว" ....นี่ คือข้อมูลที่ได้รับจากวิทยุติดต่อกันระหว่างฝูงบินที่ 19... เสียงจ่าฝูงดังมาแล้วได้ยินชัดว่า "สงสัยว่าเราหลงทาง ทำไมแถวนี้มีแต่หมอกสีขาวเรืองแสงไปหมด...เฮ้ พื้นน้ำเป็นสีขาว ไปหมด.. มองไม่เห็นท้องฟ้า ..มันขาวโพลนไปหมด..." นี่เราอยู่ที่ไหนกัน.. เข็มทิศผมมันหมุนติ้วไปหมดแล้ว "แล้วทุกอย่างก็เงียบหายไป.. ฝูงบินที่ 19 หายสาบสูญไปจากโลกของเรา อีกตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่รายงานการหายตัวอย่างลึกลับของเครื่อง 727 หายวับจากจอเรดาร์ของสนามบินไมอามี่ ขณะเรื่อง 727ลำนั้น กำลังปักหัวลงสู่สนามบิน ....727 ของสายการบิน "National airline บินดำดิงลงมา ผ่านเข้าหมูเมฆขาวก้อนเล็กๆ จู่ ๆ ก็หายวับไปจากจอ เรดาร์ พนักงานหอบังคับการต่างวิ่งกันวุ่นกรดปุ่มสัญญาณเตรียมลงฉุกเฉิน บางคนกล้องส่องทางไกล เผ่นออกไปนอกบังคับการ เพื่อมองหาเครื่อง 727 เพราะว่าว่าตกโหม่งโลกไปแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นอะไร นอกจากก้อนเมฆก้อนนั้น ภาพปรากฏใหม่บนจอเรด้าร์ แล้ว 727 ก็บินลงสนามทางปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น .. ทั้งนักบินและผู้โดยสานเครื่องบิน 727 ต่างงงไปตามๆ กัน เมื่อเห็นว่ามีรถดับเพลิง รถพยาบาล รถกู้ภัย ของสนามบิน ต่างวิ่งตามกันมาห้อมล้อมกันเต็มไปหมด..ภายหลังจึงทราบว่าอะไรเกิดขึ้น .. เวลาของนักบินและของผู้โดยสาย เที่ยวบินนั้นได้ขาดหายไป 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบิน 10 นาที ทั้งๆ ที่ไม่มีใคร รวมทั้งนักบินรู้เลยว่าเวลา 10 นาทีนั้นขาดหายไปไหน ..และหายไปได้อย่างไร.. การสอบสวนไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรเพิ่มเติม นอกจากจะเพิ่มความงุนงงมากขึ้นเท่านั้น..เวลามันหายไป 10 นาที ตอนที่เครื่อง 727 บินเข้าไปในเมฆก้อนเล็กๆ "มันแปลกอยู่หน่อยที่เมฆก้อนนั้นมันมีความสว่างผิดปรกติธรรมดา คล้ายกับว่ามันมีแสงเรืองในตัวเอง..แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไรเลย.. ผมไม่เข้าใจว่าเวลามันหายไปตอนไหน.. เจ้าหน้าที่หอบังคับการเขาว่าผมบินหายเข้าไปในเมฆนานถึง 10 นาที แต่มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ..เพราะเมฆมันก้อนเล็กนิดเดียว ผมบินทะลุเมฆลงมาในเวลาไม่ถึง 3 วินาทีก็ออกมาเป็นทางวิ่งลงแล้วนี่ครับ.." คำตอบคืออะไร? ความประหลาด ความลึกลับ ของสิ่งที่เกิดขึ้นในย่านทะเลเบอร์มิวด้า มีผู้ที่พยายามจะค้นคว้าหาคำตอบกันมากมาย มันเป็นดินแดนอาถรรพณ์จริงๆ หรือมันเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ... คำตอบต่างๆ มีมากมายแต่ข้อไหนล่ะที่ถูกต้องหรือใกล้เคียงกับความจริงที่สุด ขอให้เรามาดูกันเป็นข้อๆ ดีกว่านะครับ.. 1)การหายสาบสูญสูญของเรือในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเกิดจากสาเหตุที่ว่าเรื่อเหล่านั้นแล่นไปชนเอาทุ่นระเบิดเข้าก็ได้ ทุ่นระเบิดที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ยังคงมีหลงเหลืออยู่อย่างไม่ต้องสงสัย..แนวคิดข้อนี้ดูจะเป็นไปได้น้อยมากนะครับ เพราะมันไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ประหลาดอย่างอื่นๆ อีกหลายๆ กรณีได้เลย เช่นในกรณีที่เรือเดินทะเลบางลำลอยเท้งเต้งเข้าหาฝั่ง โดยที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่บนเรือนั้นเลยแม้แต่คนเดียว ข้าวของและของมีค่าอื่นๆ ยังอยู่ครบบริบูรณ์บนเรือ กะลาสีเรือและกัปตันเรือหายตัวไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างนี้จะอธิบายได้อย่างไรละครับ.. 2)การหายสาบสูญของเรือ อาจเกิดจากพายุในทะเลที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันที.. นี่ก็เป็นข้อเสนออีกแนวหนึ่งที่มีทางเป็นไปได้ แต่น้อยมาก เพราะโดยหลักการแล้ว แถบทะเลในย่านนี้ ถ้าจะมีพายุขนาดใหญ่ ชนิดที่จะสามารถทำให้เรือเดินทะเลอับปางทันทีทันใดนั้น จะต้องเป็นพายุใหญ่ที่ต้องรู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ไม่มีวันที่พายุใหญ่ๆ ขนาดนั้นจะรอดสายตาของนักอุตุนิยมวิทยาไปได้ และอย่างน้อยเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ๆ ก็มีเครื่องมือตรวจพายุอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีการส่งขาว รายงานเข้าสู่ฝั่ง หรือวิทยุขอความช่วยเหลือมาบ้าง ถ้าเจอเข้ากับพายุใหญ่ขนาดที่จะจมเรือเดินสมุทรได้ 3)"มันเป็นเรื่องความเชื่อ อันเกิดมาจากเหตุบังเอิญ".. นี่คือคำประกาศเป็นทางการของกองเรือยามฝังที่เจ็ด ของนาวีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหน่ายงานของรัฐบาล ที่ทำงานรับผิดชอบอยู่ในเขตน่านน้ำ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า... "ความอาถรรพณ์นั้นไม่มีจริง ความจริง เป็นเพียงเรื่องล่ำลือ เชื่อกันไปเอง การหายไปของเรือไม่ใช่ของแปลกอะไร ที่ไหนๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า เป็นบริเวณที่มีการสัญจรทางเรือ และทางอากาศหนาแน่นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เท่านั้น เปอร์เซ็นอุบัติเหตุต่างๆ จึงมีมากกว่าที่อื่นๆ และด้วยเหตุพ้องจองที่ว่า แถบเบอร์มิวด้า มีภาวะแวดล้อมที่ผิดแผกไปจากบริเวรเส้นทางเดินเรืออื่นๆ เท่านั้นเอง จึงทำให้เกิดความผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุทางเรือได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดเรืออับปาง และเครื่องบินตกได้ง่ายกว่าที่อื่น.." ทฤษฎีนี้ฟังดูเข้าทีที่สุด เพราะมันประกอบด้วยข้อมูลสถิติ และหลักสามัญสำนึกธรรมดาๆ แต่มีปัญหาหนึ่งทฤษฎีนี้พยายามปิดบัง ไม่กล่าวถึง อันทำให้เป็นที่น่าสงสัยนั่นก็คือ การอับปางของเรือ และเครื่องบินทำไมจึงไม่พบร่องรอยหรือซากอับปางให้เห็นบ้างเลย.. เรือและเครื่องบินเหล่านั้นอับปางจริงหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ที่คนหลายร้อยหลายพันคนจะจมหายไปกับเรือ ไม่มีสิ่งของ หรือเศษชิ้นส่วนใดๆ หลุดออกมาให้เห็นเลย แม้แต่นิดเดียว ..แล้วก็อย่างในกรณีเรือ ไซคล๊อปส์ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918 ..แต่จู่ๆ มันก็ปรากฏตัวลงเท้งแต้งเข้าฝั่งมาเกยตื้น โดยมีแต่เรือเปล่าปราศจากผู้คน..ผู้โดยสานจำนวน 309 คนหายไปไหนกันหมด ข้าวของมีค่าทุกชิ้นทั้งอาหารและสินค้าบนเรือยังอยู่บริบูรณ์ จะว่าเรือถูกโจรสลัดปล้นก็ไม่ใช่แต่อะไรละได้เกิดขึ้นกับผู้คน 309 ชีวิตเขาหายไปไหน? 4)ทฤษฎีกาบ่ายเบนของสภาพเวลาอวกาศ ...ดร.แซนเดอร์สัน ไอแว (Dr" Sanderson Ivan) เป็นผู้เสนอแนวความคิดนี้ขึ้นเป็นทฤษฎีทางเวลาอวกาศ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "Invisible Residents" ทฤษฎีนี้กล่าวสรุปว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นบริเวณที่มี "สาเหตุไม่ปกติ" ทางธรรมชาติเกิดขึ้นเนื่องมาจากเป็นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง ของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าของโลกมากที่สุด ... เมื่อมีกระแสน้ำอุ่นจากตอนเส้นศูนย์สูตรไหลขึ้นไปสู่ทางเหนือของมหาสมุทรแอสแลนติค ปะทะกับกระแสน้ำเย็นที่ไหลลงสู่ทางใต้จากขั้วโลกเหนือ การปะทะกันของกระแสน้ำทั้งสองชนิดทำให้เกิดการแบ่งตัวกัน ของระดับน้ำเป็นชั้นๆ ชั้นบนจากผิวน้ำลงไปสู่ความลึกประมาณ 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเป็นชั้นของกระแสน้ำอุ่น ลึกลงไป จากนี้ก็จะเป็นชั้นของกระแสน้ำเย็น ทั้งสองชั้นนี้มีทิศทางการไหลของน้ำสวนทางกัน ซึ่งอยู่ในระดับความลึก 500 ถึง 1,000 ฟุต จะเกิดการอันแน่นของกระแสน้ำ มีการขัดถูกัน และมีการถ่ายเทอุณหภูมิกันอย่างมกมาย เกิดการถ่ายถ่ายเทขัดสีกัน ของประจุไฟฟ้าสถิตขึ้นอย่างมากมาย เป็นจำนวนมหาศาล หลายพันล้านโวลต์เกิดการเหนี่ยวนำของสนามไฟฟ้าเป็นผลกระทบตามมา ประกอบกับการผันแปรของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในบริเวณนี้ การผันแปรของสนามแม่เหล็กโลก และสนามไฟฟ้าอาจมีการแปรผันสัมพันธ์กัน นำไปสู่ภาวะการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นชั่วคราว กระทบกระเทือน กับสนามแรงโน้มถ่วงของโลกในบริเวณนั้น.. และนี่คือผลกระทบทีทำให้เกิดการบ่ายเบนของสภาพเวลา-อวกาศ เมื่อสาเหตุไม่ปกตินี้เกิดขึ้น ก็จะทำให้เรือหรือเครื่องบินที่บังเอิญอยู่ตรงบริเวณนั้น ในขณะนั้น แล่นหรือบินออกจากจุดแห่งความแตกต่างของห้วงกาลเวลา หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าได้ว่าบริเวณนั้น มีการเปลี่ยนแปลงของมิติที่ 4 เกิดขึ้น เรือหรือเครื่องบินก็ตาม อาจหลุดหรือผ่านเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรืออีกกาลเวลาหนึ่งก็ได้ และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรือ ปรือเครื่องบินหายวับไปโดยปราศจาร่อง.. นอกจากนี้ ทฤษฎีของ ดร.แซน เดอร์สัน ยังสามารถใช้อธิบายในกรณี ที่มีเครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาอีกได้นั้นหรือในกรณีที่เครื่องบินหายไป ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาโดยไม่ทราบว่าหายไปไหนมา .. ทั้งนี้เพราะเหตุที่ว่าเครื่องบินเหล่านั้น ได้บังเอิญบินหลุดเข้าไปในความแปรผัน ของสนามเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางมิติขึ้นในทันทีทันใด จุดแปรผันของกาลเวลานาอาจเป็นเพียงบริเวณเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นดังนั้นจึงมิได้ทำให้เครื่องบินนั้น เคลื่อนย้ายออกไปจากมิติ หรือกาลเวลาปัจจุบันไม่มากนัก ระยะเวลาที่เกิดขึ้นกับเครื่องบินอาจจะเป็นชั่วระยะสั้นๆ แค่ 1 ในพันของวินาที หรืออาจจะไม่ถึงพริบตา แต่จะทำให้เกิดความแตกต่างกัน กับเวลาบนโลกนับได้เป็นนาที หรือชั่วโมงก็เป็นได้ และก็ด้วยการแปรผันอย่างรุนแรงของสภาพมิติ ในบางครั้ง มันก็อาจทำให้เรือเดินทะเลขนาดใหญ่ หรือเครื่องบินทั้งฝูง หลุดเข้าไปสู่อีกห้วงหนึ่งของกาบเวลาที่ไม่ใช้ปัจจุบัน และผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น ก็จะติดอยู่ในห้วยแห่งกาลเวลานั้นโดยไม่มีทางได้กลับออกมาสู่มิติเดิมของเขาได้อีกเลย.. เป็นไงครับทฤษฎีของ ดร.แซนเดอร์สัน ฟังเข้าท่าพอเป็นไปได้นะครับ.. แต่ใครละจะกล้าพิสูจน์ว่าทฤษฎีนี้เป็นจริงความเป็นไปได้ ของการบ่ายเบนของมิตินั้นก็เป็นทฤษฎีที่มีตัวเลขยืนยันคำนวณกันแต่บนกระดาษ แต่ในความเป็นจริงแล้วทฤษฎีนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าทดลองเพื่อยืนยัน ให้เป็นจริงกันสักที จึงเป็นอันว่าเราต้องคอยดูกันต่อไปดีกว่า 5)บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า อาจเป็นที่ตั้งฐานทัพลับใต้สมุทร ของชนชาติลึกลับ หรือของพวกมนุษย์ต่างดาวก็ได้การหายไปของเรือและเครื่องบิน อาจเกิดจากการจงใจ "ขโมย" เรือหรือเครื่องบินรวมทั้งการลักพาคนไปเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการทดลอง หรือเพื่อการเก็บไปเป็นตัวอย่างดูเล่นก็เป็นได้..แนวความนึกคิดทำนองนี้ อาจมีทางเป็นไปได้อย่างเหมือนกันผู้ที่ค้นคว้าศึกษาตามแนวทางนี้ โดยเฉพาะจะพบว่า ย่านท้องทะเลแอตแลนติก แถบหมู่เกาะเบอร์มิวด้านี้ มีรายงานการปรากฏตัวของ ยูเอฟโอ (UFO) หนาแน่นพอๆ กับที่เห็นบนบก ตามจุดสำคัญๆ เหมือนกัน..แต่ปัญหาสำคัญคือ ทฤษฎียังไม่มีหลักฐานอย่างอื่นที่พอจะอ้างได้หรือนำมาชี้ทางสนับสนุนได้ว่า ยูเอฟโอ มีอะไรเกี่ยวข้อกับการศูนย์หายไปของเรือและเครื่องบิน การปรากฏตัวอย่างหนาแน่นของยูเอฟโอในย่านนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีฐานทัพเร้นลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทร หรือบนเกาะร้างลี้ลับ แห่งใดแห่งหนึ่ง และก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่มนุษย์ต่างดาว จะต้องมาตั้งป้อมคอยขโมยเรือ และเครื่องบิน ของชาวโลกไปมากมายเพื่อประโยชน์อันใดกัน .. ในกรณีนี้แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านั้น เป้นบริเวณที่มีสภาวะผิดปกติทางสภาพเวลา - อวกาศตามทฤษฎีของ ดร.แซนเดอต์สันมากกว่าและยูเอฟโอ ที่มาปรากฏตัวในบริเวณนี้มากนั้น ก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอใช้บริเวณนี้มากนั้นก็เนื่องมาจากว่า ยูเอฟโอ ใช้บริเวณนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกระหว่างมิติภพ.. หรือพูดง่ายๆ ก็คือ บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิด้า อาจเป็นบริเวณ ที่มีการเปิดปิดประตูแห่งกาลเวลา หรือประตูแห่งมิติ โดยธรรมชาติก็ได้.. มันหมายถึงช่องทางที่จะใช้เดินทางผ่านเข้าออกไปสู่ย่าน "ไฮเปอร์สเปซ" นั่นเอง หรือเป็นการเดินทางผ่านมิติในระบบของแสง ที่หนังหลายเรื่องเฝ้าฝันว่ามันจะเป็นความจริง


วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Cirque Balagan Extravaganza

Cirque Balagan Extravaganza

Las Vegas is well known as a hub for the uniquely random and wonderfully strange. From the hub of neon-lit casinos and two-minute marriages comes the Cirque Balagan Extravaganza, all set to tickle your fancies with wildly unpredictable and inventive choreography, special effects, costumes and zany characters. Russian for "marketplace circus," Balagan features an international cast of tumblers, clowns, aerialists, acrobats and jugglers, combining original music, choreography, athleticism and comedy to create an awe-inspiring production reminiscent of the days of travelling circuses.†Presented by the Ministry of Tourism and produced by DreamCast Entertainment, Balagan will present an amalgam of the finest gravity-defying acts, circus skits, comedy, surrealism and old-fashioned slapstick to provide wholesome entertainment for your entire family. "Balagan is as aesthetic as it is artistic, with outlandish characters, fanciful creatures, unusual music and skilled performers offering feats of beauty," says Misha Matorin, the show's creator and producer. "People are captivated because they always want something more to happen, and we give it to them. It will be no less outstanding when Balagan is staged in Malaysia. We are looking forward to performing for the very first time for our Malaysian audience." We're sure the feeling is mutual.

วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Gorillaz

Müzik tarihinin ilk sanal elektronik rock grubu olan Gorillaz, Blur’un vokalisti Damon Albarn ve ‘Tank Girl’ adlı komedi kitabının yaratıcısı Jamie Hewlett tarafından 1998 senesinde oluşturuldu. Kadrosunda Damon Albarn (2D)’ın yanısıra Murdoc, Noodle ve Russel adlı animasyon karakterlere sahip olan grup, stillerinin dışında soundlarıyla da birçok gruptan farklı bir çizgi çiziyor ve bu da onlara olan ilgiyi daha da fazla arttırıyor. Müzik dünyasına 2000 senesinde yayınladıkları “Comes Today” adlı EP ile giren Gorillaz, ilk single “Clint Eastwood”u 2001 senesinde piyasaya sürdü. Bu single ile birçok müzikseverin beğenisini kazanan grup, aynı senenin Mart ayında kendileriyle aynı ismi taşıyan ilk albümlerini yayınladı. İngiltere listelerinde 3 numara olan grup, özellikle albümden çıkan single’lara çektikleri animasyon video kliplerle herkesi kendilerine hayran bıraktı. 2001 senesini, Amerika’da meydana gelen 11 Eylül olayı sonrası D12 ile “911” adlı bir single ile bitiren Gorillaz, 2002 senesinde ilk albümden çıkan üç single’ın b-side’larından oluşan derleme albüm “G-Sides”ı piyasaya sürdü. Aynı sene Brit Ödülleri’ne dev ekranlara yansıyan animasyon görüntüleriyle katılan grup, Temmuz ayında Spacemonkeys adlı grupla birlikte ilk albümde yer alan parçaların mix verisyonlarının yer aldığı “Laika Come Home” adlı albümü yayınladı. Sound olarak dub ve reggae’ye yakın duran albümden çıkan tek single “Lil’ Dub Chefin” büyük beğeni topladı. 2002 senesini yayınladıkları “Phase One: Celebrity Take Down” adlı DVD ile kapatan Gorillaz, Damon Albarn’ın Blur’un yeni albümü “Think Tank”e yönelmesiyle, bir süreliğine faaliyetlerine ara vermek zorunda kaldı. 2004 senesinde “Rock It” adlı video klibi hayranlarına ulaştıran Gorillaz, 2005 senesinde Danger Mouse prodüktörlüğünde “Demon Days” adlı albümü piyasaya sürdü. Albümde De La Soul, Neneh Cherry, MF Doom, Ike Turner, London Community Gospel Choir ve Dennis Hopper gibi çeşitli sanatçılarla çalışan grup, bu albümle İngiltere listelerinde 1 numara olurken, Amerika listelerinde 6 numaraya ulaştı. Albümden çıkan ilk single “Feel Good Inc.” ve “DARE” listelerde büyük başarı yakaladı ve albüm sadece Amerika ve İngiltere’de 3,5 milyon kopya satarak gruba toplam 7 kez platin plak kazandırdı. 2008 senelesini holografik dünya turnesiyle geçirmeyi planlayan Gorillaz, en son başarılı performansını 2006 Grammy Ödülleri’nde Madonna ile birlikte sahneye çıkarak “Feel Good Inc.” ile gerçekleştirdi. Aynı senenin Ekim ayında “Phase Two: Slowboat To Hades” adlı DVD’yi piyasaya süren grup, daha sonra 2 CD'lik "D-Sides" toplama albümünü ve “Rise Of The Ogre” adlı resimli otobiyografi kitabını da hayranlarına sundu.

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

TOYBOX///ONE FOR THE KIDS: FRIENDS WITH YOU’S “WISH COME TRUE”

Are you one of those new parents with a glass display case full of deadstock KAWS toys your crawling newborns can’t touch? If so, Supertouch buddies FRIENDS WITH YOU have the perfect solution that will allow you to keep your 40-year-old virgin treasures safely out of sticky baby paws and still give them something better than Fisher Price to play with. Their new “Wish Come True” set of characters featuring special “no-tip” weighted bases and built-in bell chimes from one of our favorite manufacturers, STRANGECO, will keep the kids busy for hours while their parents are busy trolling eBay for holy grail Kaiju vinyls…
*And, just in case those parents with a collectors urge—and an innate desire to embarrass their kids—just have to get a signed set of Wishes to put away for themselves, FWY’s Sam & Tury will be on hand this Saturday, February 16th to sign copies of the set at the official East Coast release party at
YOYAMART (15 Gansevoort St. @ Hudson St) from 3—6pm. Stalkers welcome…

This entry was posted on Wednesday, February 13th, 2008 at 3:35 pm and is filed under Uncategorized. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.



credit : J O'Shea/Editor

LA///STREET LIFE///THE BEAUTIFUL ONES

This nice bit of makeshift dayglo irony amidst the scabby ruins of downtown LA was a welcome sight this week…

This entry was posted on Wednesday, February 13th, 2008 at 4:03 pm and is filed under Uncategorized. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.


credit : J O'Shea/Editor

LA///SNEEK PEEK///SWOON IN PROGRESS AT NEW IMAGE ART

One of our favorite New York artists, SWOON is currently in LA racing to finish off her solo exhibition, “Drown Your Boats” in time for opening nite this Saturday, February 16th at Marsea Goldberg’s NEW IMAGE ART. In the span of two weeks, our girl has transformed the West Hollywood artspot into a floor-to-ceiling environmental installation that must be seen in person to be believed. HAVE A LOOK AT THE WORK IN PROGRESS:

This entry was posted on Wednesday, February 13th, 2008 at 5:35 pm and is filed under Uncategorized. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.

BAPE x MEDICOM TOY - 400% BE@RBRICK STA Camo

Launched the past Saturday, June 7th, is the newest version of BAPE x MEDICOM TOY BE@RBRICK. Painted with a new camouflage scheme, the STA Camo. The size 400% Bearbricks are available in 4 different colorways of white, black, brown, and blue. You can find them at all BAPE retail locations or online sellers like Cliff Edge. But be sure to get yours soon since these items sold out quick.
Cliff Edge2-16-11 Minamisaiwai, Niko Building 3F
Map (Japanese Only)Nishi-ku, YokohamaKanagawa, Japan
> Cliff Edge
> BAPE> MEDICOM TOY (Japanese Only)
More photo after the jump…

Kaws in Complex

The new issue of Complex along with guest editor Kanye West hits newsstands this week. The issue features artists- REAS, Brent Rollins, and Kaws. Here a pic of the life size Companion photographed by Matt Doyle. Either one would a dope pic up!
Image\Info:
Kaws@Honeyee

รู้จักไหม ฮิโรชิ ฟูจิวาร่า (ประวัติย่่อ)

Note : HARAJUKU is (or was… it depends…) one of the trendyest area of Tokyo, this is the place where the whole Japanese youth culture buy the latest exclusives clothes and products. This is where you can find all the famous shop such as : A BATHING APE, NEIGHBORHOOD, SANTASTIC!, XLARGE, REAL MADE HECTIC, RECON, ATMOS… etc… In this article, HARAJUKU is a shortcut to speak about the Japanese streetculture, and Japanese premium urban apparels specificities.
In every single culture or religion on earth, there is always a central pillar of faith where it holds everything together. Without the pillar, the whole faith would crumble and disband until another pillar is built. The pillar is central to how people communicate and where their future rests. Our street culture, there has been many of these so called ‘pillars’. If you take a look at all the brands we buy, you would certainly notice that brand A has a collaboration t-shirt with brand B, and brand C has just done a jacket with brand H. Our culture is a tightly-knitted network which one influences each other and what one does today will be mimicked the very next day. But without him, our street culture wouldn’t have moved in the fast pace like it is now, and certainly it won’t be as eventful, colorful and interesting. That man is none other than Hiroshi FUJIWARA.

Most people only know him as the designer and creative director for legendary brands such as FRAGMENTDESIGN, ELECTRIC COTTAGE, GOODENOUGH and HEAD PORTER, but little has been revealed about his life prior to the creation of all his brands and his musical talents. But one thing for sure is: without music, Harajuku culture, or even street culture as a whole wouldn’t be what it is now. Born in 1964, for 20 years Hiroshi Fujiwara declares his official occupation as DJ up to his recent retirement. In the past, he never mentioned himself as a fashion designer or stylist, but little was known that after he got out of senior high school, he enrolled in a specialist college in Tokyo and dropped out within 3 weeks. Rumor is that the college he enrolled in is the very famous BUNKA FASHION COLLEGE in Tokyo which NIGO (A BATHING APE) and Jun TAKAHASHI (UNDERCOVER, AFFA and ZAMIANG), his two apprentices, studied and graduated in the later years. In the early 80’s, Japan was gripped with a new wave of music trends with the invasion of Punk Rock from Britain and Hip-hop from New York. The music also brought along a change in clothing and lifestyle for the conservative Japanese teenagers who wants to openly express themselves and what they think. This is actually the precursor to what the Japanese now call ‘freeters’, meaning young men and women who works and lives casually and do what they want, and don’t want to be binded behind a office desk for 7 days a week like their typical Japanese parents. At that time, Hiroshi was already a full-time musician and playing in gigs in different nightclubs in SHINJUKU and HARAJUKU, which back then which is the mecca for all underground cultures in Tokyo. In the clubs, he has met a variety of people which was influencial to him including names such as Takagi KAN, KUDO, Tycoon TOSH and GOTA who together as a group establishes the music lable ‘MAJOR FORCE’. Then luck stumbled upon him. He entered a fashion contest and eventually he was awarded with a prize of visiting New York and London which further developed his interest in music and fashion. Through his travel and things he experienced overseas, Hiroshi has seen a much wider range of fashion labels and started his second job as a representative of overseas labels in Japan. One of the first labels he introduced was STÜSSY, which at the time was gaining more attention with the carefree lifestyle products and the ‘tribe’ system Shawn STÜSSY was introducing. The whole concept is similar to the modern day method of collaboration: gather a group of people who comes from different cultural background that shares the same passion, and create a product from each individual’s talent. In 1991, the first ever STÜSSY Chapt was opened in what used to be called “The Hill of Freedom», which is the area what is now call Daikanyama in Tokyo. Hiroshi is also regarded as one of the original ‘WORLWIDE TRIBE’ members. TINY PANX (or what used to be called Tinnie Punks), the two-man hip-hop group founded by Hiroshi and Takagi KAN in 1986, was the pivotal point in the history of street culture. The first album they released called “I Lov Got The Groove» captured the media’s attention and also inspired what was the next generation of designers including the now very famous NIGO. It was this album that led NIGO to follow Hiroshi’s footstep to move to Tokyo, enroll at BUNKA FASHION COLLEGE, met up with Jun Takahashi, open a select shop call ‘NOWHERE’ and begin the brand A BATHING APE. With the increase popularity of TINY PANX and the success of the MAJOR FORCE LABEL, they were invited to start a monthly column in a popular lifestyle magazine called ‘Takarajima’ and named it after their debut album for Major Force, ‘LAST ORGY’. Through the ‘LAST ORGY column, they promoted not only their own music, but also shared with readers their lifestyle, clothing, music and anything that seems interesting. They regularly mentioned a store call ‘A STORE ROBOT’, which originally called ‘ROBOT’ in UK until they opened a new store in Tokyo. The store carried items from the 70’s Punk Rock era such as VIVIENNE WESTWOOD, Seditionaries to the 80’s NYC hip-hop boom. The shop is regarded as the origin of Harajuku culture, as it was the first of its kind and also the place where Hiroshi first met NIGO and Jun TAKAHASHI. An interesting note is that it was also the manager of ‘A STORE ROBOT’, call Billy KITAMURA who gave Jun TAKAHASHI his nickname ‘Junio’ and NIGO which the name is now copyright protected. It was the similar style and appearance which made NIGO ‘the number 2′ to Hiroshi. The ‘LAST ORGY’ column stopped in 1990 after published for 3 years, and in 1991 Nigo and Jun Takahashi took over and did ‘LAST ORGY 2′ in the same space within the same magazine. Then in 1990, Hiroshi started the legendary clothing lable ELECTRIC COTTAGE which the rest is now history… Looking back at Hiroshi’s history and all his previous works, you would easily find he is the pioneer into a few areas which street culture is currently made up of. Firstly, he was the first person to come up with the idea of ‘limited edition’. In the early days of Electric Cottage and good enough, Hiroshi kept the production amount to a low number, carefully selected the retail outlet which he supplied the clothing to and appeared in different interviews and magazines to gain mass exposure. Using his influence as a famous DJ, music producer, stylist and a icon in the sub-culture, he successfully created hype which ensured his products are sold out when they drop into the shop. Collaboration is another famous practice created by Hiroshi. Up till today, nearly every single brand in the Harajuku area has collaborated or affiliated in a project that Hiroshi is involved in. The point of working in a collaboration project is to enhance the relationship between brands in the area, as well as expanding the brand into each other’s target market which the idea worked successfully and has started a trend in the next decade to come. But as a point of interest, Hiroshi has NEVER collaborated with NIGO and his brand a BATHING APE, given that he was the person who inspired NIGO into becoming a DJ and designer. In the course of the past 20 years, Hiroshi has started up many other brands at the same time when he is still running his older brands. During his prime years, he had as many as 4 different brands (ELECTRIC COTTAGE, GOOD ENOUGH, FINESSE and MORE ABOUT LESS) running at the same time. This trend has only caught on by other brands in the past few years, with NEIGHBORHOOD creating SVG ARCHIVES and BASE STATION, UNDERCOVER creating ZAMIANG and REALMAD HECTIC creating MASTERPIECE. Hiroshi is also known for collaborating within his own brands, so seeing collaboration t-shirts by ELECTRIC COTTAGE and MORE ABOUT LESS is no big surprise as it happens every so often. A really clever thing which Hiroshi specializes in is product placement. Usually designers would only get professional models to style their products, but Hiroshi knows his name and his products represent the latest in street culture so at every feature or interview he does, he would style himself or his friends with the most exclusive gear or the latest item available by his brands. Using his position as an icon, whatever he wears will be highly praised and sold out within days and over the years, he would accumulate a large group of dedicated followers who would dress in the same style as Hiroshi himself does. Nowadays in HARAJUKU, it would be strange if the designers wouldn’t appear in a styling shoot with their own brand. But the biggest contribution that Hiroshi has brought to our street culture is his gigantic network of friends from around the world. If we study the relationship between different brands, we could see there is a degree of interaction between each and every one of them, from collaboration projects to participate in a joint exhibition together. The meeting between Hiroshi and Michael KOPELMAN was definitely a turning point. If it wasn’t from their friendship and business relationship, a number of HARAJUKU brands would not have made their debut outside their domestic market since the shop HIT & RUN (now known as THE HIDEOUT) was the first to stock brands like A BATHING APE, UNDERCOVER, ELECTRIC COTTAGE, LET IT RIDE and good enough outside of Japan. In return a few years later, HARAJUKU would be hit with a wave of overseas brands such as SUPREME, RECON, SILAS and MARIA and UNDEFEATED which was all derived from this relationship. Can you believe where the hype would be if none of these brands made it outside their domestic market? It is hard to say without Hiroshi, where and what would our current street culture would look like. It may be non-existent, or maybe it’ll be more slow-paced than it is now. But one thing to know for sure is, without his presence or influence; our street culture would not be as vibrant or alive as it is today. He was the one who introduced some of the common practices of our street culture, who inspired many to become a designer and inspired many to pursue their own dreams and lifestyle like he did. His influence has expanded from what people may wear, to how one may live their life.




credit : http://natsarasas.wordpress.com/

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

รู้จักไหม KAWS (คอวส์)

ไบรอัน โดเนลลี่ หรือที่รู้จักกันในนามของ คอวส์ (KAWS)เกิดเมื่อปี 1974 ในประเทศอเมริกาในช่วงกลางของยุด 90 เขาได้เริ่มนำผลงานของเขา(แอบ)ไป ติดตามสถานที่ต่างๆเช่นตู้โทรศัพท์ และ ป้ายหยุดรถประจำทางของ มหานครนิวยอร์คงานของคอวส์เป็นงานกราฟฟิกโฆษณา ลักษณะมีการ์ตูนเป็นส่วนผสม และส่วนมากจะมีสัญลักษณ์ กระดูกไขว้ และ ตา X X
ของเล่น kaws
หลังจากที่ คอวส์ ได้ทำงานซักพักและเริ่มมีชื่อเสียงในนิวยอร์ค เขาได้นำงานของเขาไปแปะเพิ่มในอีกหลายเมืองในต่างประเทศ เช่น ปารีส ลอนดอน เบอร์ลินและโตเกียว งานของคอวส์ ได้เข้าไปอยู่ในสิ่งพิมพ์หลายชิ้น รวมถึงการได้เข้าไปแสดงงานใน โคเล็ทท์ ที่ กรุงปารีสปาร์โค แกลอรี่ ที่โตเกียว และที่สำคัญ เบ๊ป แกลอรี่คอวส์ ได้ร่วมมือกับ นิโก้ ผลิตคอลเล็กชั่นออกมามากมายในปี 2005-2006 ไม่ว่าจะเป็น ฮูดดี้ รองเท้า ฯลฯปัจจุบัน คอวส์ นับว่าเป็น ศิลปิน กราฟฟิตี้ อีกหนึ่งคนที่ประสพความสำเร็จ และได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก
เขาได้เปิดร้านของเขาเองที่ย่าน อาโอยาม่า ในโตเกียว (ใกล้กับร้าน เบ๊ป เอ็กซคลูซีฟ)มีชื่อว่า original fake (ออริจินอล เฟค)และยังคงมีผลงานกับแบรนด์อื่นๆมาให้เราติดตามอยู่อย่างไม่ขาดสาย

credit : http://natsarasas.wordpress.com/

รู้จักไหม นิโก้ แห่ง อะ เบธิ่ง เอป

หนึ่งในผู้ช่วยของ ฮิโรชิ ฟูจิวาร่า (เก่า), นิโก้ คือผู้ก่อตั้ง อะ เบธิ่ง เอป และยี่ห้อลูกทั้งหลาย (BABY MILO, APE SOUNDS, BAPY, BAPE CAFE, BAPE CUT, BAPE TV…) นิโก้ เรียนหนังสือที่Bunka Fashion Collegeในโตเกียวกับ จุน ทาคาฮาชิ แห่ง อันเดอร์ คัฟเวอร์ และในป ี1992 พวกเขา (นิโก้+จุน) ก็ก่อตั้ง บริษัทNowhere Ltd.ร่วมกัน เป็นร้าน ซีเล็กช็อป (คล้ายๆกับร้าน manga บ้านเรา) ที่ย่านฮาราจูกุในโตเกียว

นิโก้ และ ฟาร์เรล วิลเลียมส์ ยังได้ก่อตั้ง ยี่ห้อร่วมกัน สองยี่ห้อนั่นคือ บิลเลิี่ยนแนร์ บอยส์คลับ และ ไอซ์ครีม

โปรเจคล่าสุด นิโก้ได้เข้าไปช่วยแบรนด์ ดังอย่าง เฟนดิ (Fendi) จัดงานอีกทั้งยังร่วมดีไซน์ คอลเลกชั่นด้วย

รู้จักไหม เลนนี่ แม็คเกอร์

เลนนี่ แมคเกอร์ (Lenny Mcgurr)หรือ ฟูทูร่า/ฟิวเจอร่า โดส มิล*(FUTURADOSMIL) (FUTURA2000) ถือเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่
ใครเลยจะคิดว่าศิลปินกราฟฟิตี้ผู้ใช้สีกระป๋องแทนภู่กันจะสามารถทำให้ผู้คนในโลกศิลปะชั้นสูงยอมรับได้ถึงขนาดนี้ฟูทูร่าเป็นชาวอเมริกัน เชื้อสาย โดมินิกัน พำนักอยู่ที่ย่าน บรุ๊กลิน ของมหานคร นิวยอร์ค
เขาเป็นอีกหนึ่งในยุคนี้คนนอกเหนือจาก คีธ แฮริ่ง(Kieth Harring) และ ฌอง มิเชล บาสเคียท(Jean-Michel Basquiat)(จาก นิวยอร์ค) ที่ได้ทำให้วงการศิลปะร่วมสมัยต้องสะเทือน

ชื่อของ ฟูทูร่า เคยโด่งดังถึงขีดสุดไปแล้วในยุค ’80 และเขาก็ได้กลับมาโด่งดังอีกครั้งในปี ’90 หลังจากที่เขาได้ร่วมมือ กับ เจมส์ ลาแวลล (James Lavelle)แห่งค่ายโมแวกซ(MoWax)์ ในการทำปกซีดีที่มี อังเคิล (UNKLE)คาแรกเตอร์ที่เขาออกแบบอยู่บนปก
นิโก้ แห่ง อะเบธิ่ง เอป


เป็นอีกหนึ่งคนที่เห็นในศักยภาพของ ฟูทูร่า และได้ จัดงานนิทรรศการ ร่วมกับ ฟูทูร่า และ เพื่อนสนิทของฟูทูร่า สแตช (Stash)ผู้ก่อตั้ง รีคอนและ นอร์ท (Recon, Nort) ในนาม คอมมานด์ ซี (Command Z) ที่ เบ๊ป แกลอรี่ โตเกียวในปี 2003 ฟูทูร่าร่วมมือกับน้ำหอม ที่ CK One เขานำงานของเขาและเพื่อน ศิลปิน กราฟฟิตี้อีก สองคน เดลต้า และ เอสโป (Delta, Espo) ทำ ขวดแบบ ลิมิเต็ด อิดิชั่น

ฟูทูร่ามีร้านเป็นของตนเองอยู่ที่ ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ใช้ชื่อว่า FL (FUTURA LABOTORIES) ที่เป็นผลิตภันฑ์ที่ออกแบบโดย ฟูทูร่าเอง
ร่วมงานกับ MHI บ่อยครั้ง
ร่วมงานกับ TK แห่ง Sillythingและท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายที่จะขอกล่าวถึงก็คือการร่วมงานกับไนกี้ที่ไม่ต้องบรรยายถึงราคาทุกวันนี้ ฟูทูร่า ยังคงทำงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ถ่ายภาพ และ ฯลฯ นับว่าเป็นโชคดีของชาวไทยที่ได้มีโอกาสได้เคยพบกับ ตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่คนนี้

สาขา 2

โปรเจ็คใหม่ ได้เริ่มสักที


เห้อๆ